คอมเม้นต์รีวิวทั้งหมด
ค้นหาคอมเม้นต์ที่คุณต้องการ
The Home Shabu & K.Buffet เป็นร้านบุฟเฟ่ต์เกาหลี ที่รวมอาหารเกาหลีหลากหลายชนิด ทั้งบิบิมบับ ต๊อกบ๊อกกี่ หมูผัด บุลโกกิ ไก่ทอดซอสคันจัง สลัดอีก 4-5อย่าง พร้อมชาบูสไตล์เกาหลีที่มีทั้งหมูคุโรบูตะ และเนื้อริบอายออสเตรเลีย กิมจิอีก 4-5ชนิด พร้อมเครื่องเคียง ขนมหวาน บิงซู ไอศกรีมซอฟต์ครีม น้ำอัดลม-ชาข้าวคั่ว-ขาพีช-กาแฟ ทั้งหมดนี้ตักได้ไม่อั้น ในราคาบุฟเฟ่ต์ 499 บาท
ร้านนี้อยู่ถนนราชพฤกษ์ติดกับ KFC drive thru อีกด้านของร้านคือร้านก๋วยเตี๋ยวจักรเพชร ด้านหน้าร้านมีที่จอดรถอยู่เยอะพอควร 15-16 คันได้เลย
ภายในร้านตกแต่งร้านได้สวยดี โซนตรงกลางเป็นไลน์บุฟเฟ่ต์ หลายๆประเภทอาหารให้เลือก ส่วนโต๊ะทานอาหารจะอยู่ด้านซ้ายและด้านในของร้าน ดูไลน์อาหารยังกะร้านอาหารในโรงแรมเลย ดูดีมาก
ที่โต๊ะอาหาร จะมีเตาแม่เหล็กไฟฟ้าและหม้อชาบูอยู่ แต่ผมมองว่าชาบูของที่นี้เหมือนเป็นของแถมของร้านมากกว่า เพราะว่าอาหารในไลน์บุฟเฟ่ต์นั้นล่อตาล่อใจ และเย้ายวนให้อยากทานมากว่าการแค่มานั่งทานชาบูเฉยๆเหมือนร้านชาบูทั่วๆไป
มาดูไลน์อาหารกัน เริ่มที่ไลน์อาหารคาวตัวหลักก่อน
>มีข้าวยำเกาหลี Bibimbab แบบที่เลือกตักเองได้เลย มีชามเครื่องปรุงต่างๆวางพร้อมไว้อยู่แล้ว เลือกตักข้าว ตักเครื่องปรุงแต่งหน้าได้เองเลย พร้อมราดซอสโคชูจังปิดท้าย เป็นชามที่ชอบอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย
>ถัดมาจะเป็นหม้ออุ่นร้อน มีพวกต๊อกบอกกี้ทั้งแบบหวาน และแบบเผ็ด เนื้อบุลโกกิ และ Kimji J Jim(เป็นหมูอบเสิร์ฟพร้อมกับกิมจิ)
>ไลน์ถัดมาเป็นสลัด วันที่ไปทานมีให้เลือกอยู่ 4 อย่าง สลัดผลไม้ซอสงา สลัดไข่ผลไม้ สลัดมะกะโรนี และก็มีข้าวปั้นสไตล์เกาหลีด้วย เรียกว่า จูม๊กบับ
>ไลน์ถัดมา มีซูปกิมจิ , จับเฉ(ผัดวุ้นเส้นสไตล์เกาหลี) , ไก่ทอดซอสคันจัง (อันนี้อร่อยแนะนำเลย) ,ทักไกบิ
>ไลน์ถัดมาเป็นสลัดผัก วันที่ไปมีอยู่ 4 อย่างคือ [แซลมอนสลัด,เฟรนส์สลัด,เน็งเช,ซีซาร์สลัด]
>ไลน์ถัดมาเป็นกิมจิเครื่องเคียง ให้เลือกหลายอย่างเช่น [กิมจิหัวไชเท้า,กิมจิแบบเปรี้ยว,ออมุกโอเด้ง,แตงกวาดอง,พริกดอง,มันฝรั่งผัดแครอท,]
>ไลน์ถัดมาเป็น สำหรับชาบู ซึ่งเป็นพวกเห็ดและผักมากกว่า มีพวกเห็ดออริงงิ,เห็ดเข็มทอง,ฟักทอง,ผักกะหล่ำ,ข้าวโพดหวาน,โอเด้ง,เส้นรามยอง,วุ้นเส้น,ไข่ไก่ เอ่อลืมบอกไป ร้านนี้บุฟเฟ่ต์จะมีเนื้อริบอาย หรือหมูคูโรบูตะมาให้คนละ1จาน(เลือกอย่างใดอย่างนึง) แต่ถ้าต้องการเนื้อแบบไม่อั้น เพิ่มเงินอีก50บาท แต่ผมแนะนำว่าไม่ต้องสั่งเพิ่มหรอก เพราะแค่นี้ก็กินจะไม่หมดอยู่แล้ว หาพื้นที่ว่างในกระเพาะมาลองอาหารให้ครบทุกอย่าง ก็แบบอิ่มตื้อแล้วนะ
>ไลน์ขนมหวาน นี้ก็แบบเยอะมาก ทั้งคุกกี้ เค้ก ทาร์ต บางวันมีมาการองด้วย มีมาร์ชแมลโรล จอลลี่แบร์ ต๊อกคลุกผงถั่ว บราวนี้ และอีกหลายอย่าง รู้ว่าหมวดขนมหวานนี้ แต่ละวันอาจจะแตกต่างกันไปนะ แต่ไฮไลท์ที่ห้ามพลาดคือ ที่ร้านมีบิงซูด้วย (น้ำแข็งไสสไตล์เกาหลี) คือเลือกตักเองได้เลย ใส่ท็อปปิ้งตามชอบได้ไม่อั้นด้วย แถมมีไอติมซอฟต์เสิร์ฟรสวนิลลา กดเองได้อีก ฟินจริงๆเลย2เมนูนี้
สรุปรวมด้วยไลน์อาหาร ที่มีให้เลือกหลายอย่าง กับเวลาในการทาน 2 ชั่วโมงนั้น ก็ถือว่ามีเวลาได้ละเลียดอาหารแต่ละชนิดได้มากพอสมควรเลย แต่หากคุณไม่ใช่สายแข็งในเรื่องบุฟเฟ่ต์ ผมบอกเลยว่าแค่ตักมาชิมอย่างละนิดละหน่อย หนังท้องก็ตึง แล้วละ
ถือว่าบุฟเฟ่ต์ของ The Home Shabu+K.buffet ในราคา 499 บาท กับเวลา 2 ชั่วโมงเต็มๆนี้
ทำให้โอปป้าอย่างเรา ได้ฟินกับอาหารได้อย่างเต็มที่ (ยิ่งเปิดเพลงป็อปเกาหลี ภายในร้านขณะทานไปด้วย นี้ยิ่งได้อารมณ์มากขึ้นไปอีก1สเต็ป)
แนะนำสำหรับคนที่อยากมาลองทานอาหารเกาหลีแบบหลากหลายในราคาที่คุ้มค่า
มีโอกาสได้ไปที่ตึกThe opus ที่ซอยทองหล่อ10อีกครั้งครับ
มีร้านเปิดใหม่โดยคนเกาหลีแท้ๆเลยครับ เลยขอลองสักหน่อย
บรรยากาศในร้านในวันที่ไปก็โอเคครับ เข้าไปนอกจากพนักงานนี้มีแต่คนเกาหลีเลยครับ
เพื่อนพี่น้องท่านใดอยากลองสไตล์เกาหลีแท้ๆ ลองแวะไปลองได้ครับ
เพื่อนพี่น้องท่านใดอยากลองสไตล์เกาหลีแท้ๆ ลองแวะไป ...
ติดตามอ่านรีวิวฉบับเต็มได้ที่
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=akuchan&date=05-05-2015&group=1&gblog=37
ขอบคุณครับ
ร้านที่จะมารีวิววันนี้เป็นร้านกาแฟเล็กในมุมหนึ่งของโรงแรม The Bedrooms Boutique Hotel ตั้งอยู่ข้างๆBigC อ่อนนุช ภายในร้านบรรยากาศเงียบสงบ คนไม่พลุกพล่าน ให้ความเป็นส่วนตัว มีFree Wifi และปลั๊กไฟ เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการมานั่งทำงานหรืออ่านหนังสือ ที่สำคัญเพลงที่นี่เพราะมากเป็นเพลงสากลยุค'80-'90 ซึ่งรับรองว่าคลอตามได้ทุกเพลงและเป็นเพลงที่ทำให้บรรยากาศของร้านนี้ดีขึ้นไปอีก
ในส่วนของเครื่องดื่มก็ค่อนข้างหลากหลาย มีทั้งกาแฟ ชา รวมถึงผลไม้ปั่น ราคาจะอยู่ที่ประมาณ70-100บาท ซึ่งก็คุ้มค่ากับบรรายากาศและ Facilities ที่ได้รับ รสชาติกาแฟก็ได้มาตรฐานไม่เข้มไม่อ่อนจนเกินไป ความหวานก็กำลังดีครับ
ร้านนี้เป็นร้านโปรดของผมร้านนึงเลยทีเดียว ใครมีโอกาสก็แวะมานั่งจิบกาแฟผ่อนคลาย อ่านหนังสือ หรือทำงานที่นี่ได้เลยครับ
รีวิวร้านเนื้อย่างเปิดใหม่ ย่านวัชรพล ร้านเดอะแกรนด์ บาร์บีคิว The Grand BarBQ เป็นร้านเนื้อย่างระดับพรีเมี่ยมสไตล์ออกแนวญี่ปุ่น แต่ว่าร้านใช้เนื้อวัวพันธุ์ไทยเป็นหลัก และทีเด็ดคือมีเนื้อสูตรเฉพาะของร้านที่บ่มแห้งแบบพิเศษคิดค้นขึ้นมาเองอีกด้วย ร้านนี้ตั้งอยู่ในห้างเนเบอร์เซ็นเตอร์ Neighbour Center ใกล้ๆ 5แยกวัชรพล ตรงข้ามกับปั้ม ปตท. ตัวร้านเดอะแกรนด์บาร์บีคิว จะอยู่ชั้น2 เป็นร้านเปิดใหม่มาสัก2-3เดือนนี้เองครับ ใครเคยมากินร้าน "เมี่ยงปลาหมุน 5แยกวัชรพล" ที่มีปลาเผาอร่อยๆออกทีวีมาแล้วหลายๆรายการ ก็นั้นแหละครับ สถานที่เดียวกัน จอดรถได้มากอยู่สัก 30-40 คันสบายๆ
ดูเมนูของทางร้านต้องบอกเลยว่า ที่นี้เน้นไปทางปิ้งย่างอย่างเดียวเลย โดยจะมีเนื้อวัวเป็นหลัก มีแทบทุกส่วนของวัวเลยแหละ แต่หากใครไม่ทานเนื้อ ก็ยังมีชุดหมู ไก่ และซีฟู้ด มาเป็นออปชั้นให้เลือกได้อีกหลายเมนูเช่นกัน แต่ถ้าเป็นประเภท Meat Lover นี้มาร้านนี้จะต้องชอบแน่ๆละ เพราะร้านมีเนื้อแทบจะทุกส่วนชำแหละออกมาให้เลือกทานตามใจชอบ
วันที่พวกผมไปทานเจอเจ้าของร้าน ชื่อพี่อั๋น มารับออเดอร์และพาเราไปดูตู้แช่เนื้อส่วนต่างๆ พร้อมกับชาร์จบอกส่วนประกอบว่า แต่ละส่วนของวัว อะไรอยู่ตรงไหนบ้าง ส่วนไหนของวัวที่ตัดออกมาเป็น Sirloin , Rib , Chuck , T-bone , Brisket พี่เขารู้หมดเลยว่าส่วนไหนมีมันเยอะ ส่วนไหนเนื้อเยอะ เนื้อนุ่ม หรือเหนียวกว่า ,ส่วนไหนเหมาะเอาไปย่าง ไปทำสเต็ก หรือเอาไปอบไปตุ๋น ไอ้ชาร์จนี้เคยเห็นอยู่บ้างสมัยเรียน ป.ตรี แต่ก็ไม่เคยจำเลย เวลาไปกินร้านสเต็ก ร้านเนื้อย่าง ก็สั่งๆไป ไม่เคยจำได้หรอกว่าเนื้ออะไร มันคือส่วนไหนของวัว 555 พอเราดูเปรียบเทียบระหว่างเนื้อในตู้โชร์กับชาร์จ Beef Cut ด้านบนแล้วก็มาสั่งได้เลยว่าอยากจะทานส่วนไหน มีพี่เชฟค่อยอธิบายส่วนประกอบของเนื้อว่าตรงไหนเรียกว่าอะไร แต่ละส่วนให้ฟัง
คุยไปคุยมากับพี่อั๋น เจ้าของร้าน ถึงเพิ่งมารู้ว่า พี่เขาเคยทำงานอยู่แผนกเนื้อในห้างใหญ่ชื่อดังมากว่า 10ปี เป็นตำแหน่งถึง Master Butcher เลยรู้เรื่องการชำแหละเนื้อ การหั่นเนื้อเป็นอย่างดีทุกโปรเซส พี่เขาบอกว่าเนื้อที่ร้านเอามาย่าง ส่วนใหญ่เป็นเนื้อสายพันธุ์ไทยวากิวและพันธุ์ชาโลเล่ ที่เลี้ยงในภาคอีสานบ้านเรานี้แหละ ทางร้านจะไปซื้อซากวัวมาทั้งตัวจากโรงเชือดมาเลย ไม่ได้อิมพอร์ตเนื้อมาจากเมืองนอก และท้าให้ลองรสชาติความอร่อยของเนื้อที่ร้านใช้เพราะการันตีความอร่อย ไม่แพ้เนื้อนำเข้าจากต่างประเทศเลยนะ
เราเลยสั่งจัดมาลองซัก 2-3 ชุดดังนี้
- Set Premium Beef 899 Baht เป็นรวมเนื้อพรีเมียมของร้าน4อย่าง (เนื้อสันคอพิเศษ,เนื้อท้องวัว,เนื้อกล้ามขาเกรดเอ,สันนอกพิเศษ พร้อมผักออกานิคอีก1ชาม) ดูลายของไขมันที่แทรกในเนื้อแล้ว บอกเลยแหล่มมั๊กๆ
- Set Grand Pork 355 baht (สันคอหมู,หมูสามชั้น,ไส้กรอกญี่ปุ่น พร้อมผักออกานิคสำหรับห่ออีก1ชาม)
- Dry Aged Beef ส่วน ribeye 900 baht เป็นเนื้อบ่มแห้ง ที่เป็นสูตรพิเศษของทางร้านทำขึ้นมา ไม่เหมือนใคร โดยการนำเนื้อมาบ่มไว้ที่อุณหภูมิต่ำประมาณ 0 - 2 องศา ในความชื้นที่เหมาะสม บ่มทิ้งไว้ประมาณ 21 -30 วัน พี่เขาบอกว่าเนื้อบ่มแห้ง ในเนื้อมันจะมีเอนไซม์ในตัวมันออกมาทำปฎิกริยากับตัวเนื้อทำให้มีความหอมและนุ่มมากยิ่งขึ้น เวลานำไปย่าง
- "แก้มหมู" 200 บาท เมนูนี้ร้านอื่นๆไม่ค่อยมีกัน เป็นส่วนของแก้มหมู มีเอ็นแทรกอยู่เยอะพอควร ตอนทานจะค่อนข้างเคี้ยวหนึบหนับมากกว่า ชิ้นส่วนอื่นๆของหมู (คือจะเหนียวกว่า นั้นเอง)
โต๊ะอาหารที่ร้านนี้ เป็นแบบมีหลุมถ่านเตาอยู่ในตัวโต๊ะเลย พอเตาถ่านมาลง ไฟกำลังแรงๆ ก็คีบเนื้อลงเตาไปเลย (เนื้อพรีเมี่ยมจะไม่ราดซอส แค่โรยเกลือและพริกไทดำ ก็อร่อยแล้ว) พี่บอกว่าเนื้อดีๆถ้าหมักซอสแล้วไปย่าง จะทำให้ลิ้นเราไม่ได้รับรสชาติของเนื้อที่แท้จริง แต่จะได้รสชาติของซอสไปแทน
ที่ร้านแนะนำวิธีปิ้งเนื้อย่างแบบให้ได้สัมผัสรสเนื้อแบบเต็มๆ คือให้คีบลงเตาไฟแรงๆ เบิร์นให้น้ำในเนื้อค่อยๆซึมออกมา พอสีเริ่มเปลี่ยนเป็นน้ำตาลก็พลิกกลับอีกด้าน
เพียงรอบเดียว ปิ้งสุกประมาณมีเดียมแล ก็พอ แล้วให้ลองชิมเนื้อแบบไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มดู จะได้รับรู้ถึงรสเนื้อแท้ๆว่าหวานชุ่มนุ่มลิ้นเพียงใด แล้วชิ้นต่อไปค่อยจิ้มน้ำจิ้ม เพื่อเปรียบเทียบกัน
มาต่อกัน
- ซุปหางวัวแบบญี่ปุ่น 180 baht เป็นซุปน้ำข้นๆออกสีครีมๆ ทำจากเอ็นข้อวัว ใส่หางวัวที่ตุ๋นจนเปื่อย เนื้อนุ่มๆ น่าจะตุ๋นนานหลายชั่วโมงเลย น้ำซุปก็ข้นได้ใจทีเดียว
- ร้านมีข้าวกระเทียม และข้าวญีปุ่น ให้สั่งมาทานคู่กับเนื้อย่าง เลยลองสั่งข้าวกระเทียมมากิน (45 บาท) รสชาติดีทีเดียว
- ของหวาน เห็นที่ร้านมีไอติม Haagen-Dazs เป็นถ้วยๆแช่อยู่ในตู้ แต่ไม่ได้ลองเลยไม่รู้ราคา
สรุปโดยรวม ถือว่าเป็นร้านเนื้อย่างระดับพรีเมียม ที่น่าสนใจทีเดียว สำหรับคนรักเนื้อ ควรต้องมาลองทานกัน ถ้าได้เจอพี่อั๋น Master Butcher ด้วยจะยิ่งได้ความรู้เรื่องเนื้อมากขึ้นอีกตะหาก แต่หากไม่ทานเนื้อวัว ก็ยังมีหมู-ไก่และซีฟู้ด เป็นออปชั่นให้เลือกสั่งกันได้ ร้านมีโต๊ะประมาณ 10 กว่าตัว น่าจะรองรับคนได้สัก 50 -60 คนได้เลย ใครอยู่ย่านวัชรพล อยากหาทานกินยากินิคุ แบบเนื้อคุณภาพดีๆ แนะนำมาลองทานร้านเดอะแกรนด์บาร์บีคิว กัน
รสชาติอร่อยทีเดียวคับ เน้นมาทานอาหารจานเดียว จัดจานได้สวยมากๆ รสชาติจะออกแนวหวานนิดนึง แต่รวมๆ ก็อร่อย พวกอาหารแนะนำเค้าผมว่าอร่อยทุกอย่างเลย
แนะนำ หมูคำหวาน เป็นคอหมูย่างราดซอสน้ำยำ หมูนุ่มดี ซอสอร่อย
อาหารอร่อยใช้ได้เลยคับ บรรยากาศร้านน่านั่งรับแสงพีกผ่อน การจัดอาหารสวยงามเลยทีเดียวคับ สรุป เหมาะแก่การพาคนรู้ใจไปนั่งรับประทานอาหารชิวๆด้วยกันคับ^-^
ร้านสาขานี้กว้างขวางดีค่ะโล่งสบาย แถมมีปลั๊กไฟให้ด้วยในบางโต๊ะ แต่ราคากาแฟนี่พอๆกะStarbuckเลยนะคะ แอบกระเทือนกระเป๋าเล็กน้อย
แวะมาเทอมิน่อลอีกรอบวันนี้ค่ะ เหนื่อยเลยหาร้านกาแฟนั่งหน่อย
คราวก่อนมาที่ร้านเดสเซอรี่นี้ไม่ได้ลองเค้ก วันนี้เลยขอลองหน่อย
สั่ง german chocolate เค้กมาลองค่ะ ส่วนตัวคิดว่ามันหวานเกินไปหน่อยนะคะ ข้างในมีใส้คาราเมลด้วยค่ะ
ยังไม่ค่อยประทับใจแฮะ
ร้านอาหารเกาหลีที่มีให้บริการครบครันทั้งปิ้งย่างและอาหารจานเดียวสไตล์เกาหลีแท้ๆออริจินัลกันเลยร้านนี้
ร้าน Doorae ตั้งอยู่ที่คอมมูนิตี้มอลล์ BeeHive ที่เมืองทองธานีครับ มีที่จอดรถสะดวกสบาย หรือท่านใดมาเดินงานที่อิมแพค เดินเที่ยวเสร็จแล้วมาทานอาหารต่อที่นี่เลยก็ใกล้ๆครับไม่ต้องทนหิวจาการรถติดในเมืองแน่ๆเพราะร้าน Doorae เป็นร้านอาหารเกาหลีแท้ๆ ที่รองรับศิลปินเกาหลีที่เดินทางมาเล่นคอนเสิร์ตที่เมืองไทยครับ นอกจากจะทำอาหารส่งให้แล้ว บางทีศิลปินก็มาทานถึงที่ร้านเลยครับ
ดังนั้นหายห่วงเรื่องคุณภาพ บริการที่ดี รวมถึงรสชาติได้เลยเป็นที่แนะนำขนาดนี้
ครั้งนี้ผมทานบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่าง และสั่งอาหารจานเดียวเพิ่มอีกนิดหน่อยครับ ซึ่งในส่วนของบุฟเฟ่ต์นั้น มีราคาอยู่ที่ 349 บาท ซึ่งเป็นราคาเน็ท ไม่มีบวกเพิ่มใดๆทั้งสิ้นครับ
ในราคานี้ จะทานหมู ไก่ และเครื่องเคียงสไตล์เกาหลีได้ไม่อั้น แต่ไม่รวมเนื้อวัวครับ ถ้าจะทานเนื้อวัวต้องสั่งแยกเป็นจานๆครับ หรือถ้าท่านใดคิดว่าทานบุฟเฟ่ต์ไม่คุ้ม จะสั่งเป็นอะลาคาร์ท ทางร้านก็มีให้บริการครับ
สำหรับเมนูปิ้งย่างผมสั่งมาหลายจาน ที่เด็ดๆขอแนะนำเลยคือ เซ็งคาลบี้หรือซี่โครงเนื้อย่าง เป็นเมนูอะลาคาร์ทนะครับ จะเป็นเนื้อแผ่นยาวๆติดส่วนซี่โครง โรยเกลือมาด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ ตัวนี้สุกแล้วทานเปล่าๆก็อร่อย
หรือจะทานแบบเกาหลี โดยเอาเนื้อหาอด้วยผักแล้วทาน ก็ฟินไปอีกแบบครับ อีกจานที่ขอแนะนำคือ ซุปพุนบูลโกกิหรือเนื้อสไลด์บางหมักซอส เป็นจานอะลาคาร์ทครับ
เนื้อสไลด์หมักด้วยซอสผลไม้สูตรพิเศษ ตัวนี้ย่างออกมาแล้วรสชาติหวานหอม ไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มก็อร่อยครับ และจานที่ห้ามพลาดคือเทจีคาลบี้หรือซี่โครงหมูหมักซอส ตัวนี้จะหมักมากับซอสพริกแบบเกาหลี
รสชาติเผ็ดนิดๆ อร่อยมากครับ
นอกจากเมนูปิ้งย่างแล้ว ผมก็สั่งเมนูแนะนำของทางร้านมาลองด้วย แน่นอนว่ามาทานอาหารเกาหลีก็ต้องมีโสม เลยสั่ง ซัมเกทังหรือซุปไก่ตุ๋นโสมครับ หม้อนี้ 420 บาท
อาจจะดูแพง แต่หม้อนี้เป็นไก่ทั้งตัวยัดไส้ด้วยโสม ข้าวเหนียว พุทรา เกาลัด และเก๋ากี้ นำไปตุ๋นในน้ำซุป ซึ่งซุปนี้มีให้เลือกสองแบบนะครับ คือซุปเนื้อกับซุปปลา
ท่านใดไม่ทานเนื้อก็รีเควสซุปปลาได้เลย เสิร์ฟในหม้อร้อนสไตล์เกาหลี ตัวนี้ทานแล้วชุ่มชื่น ไก่ตุ๋นมากำลังดีเอาตะเกียบคีบเนื้อก็หลุดออกจากกระดูกง่ายดายครับ ข้าวเหนียวที่ยัดไส้มาก็หอมอร่อย
หม้อนี้แนะนำให้สั่งเลยครับ และที่ห้ามพลาดอีกคือ ยุคเคบีบิมบับหรือข้าวยำเนื้อสด 330บาท ข้าวยำสไตล์เกาหลีประกอบด้วยผักนานาชนิด
ทั้ง ซุคินี่ ถั่วงอกหัวโต หัวไชเท้า ปวยเล้ง สายบัว แครอท มะละกอ ท็อปปิ้งด้วยเนื้อสดและไข่แดง เสิร์ฟมาแบบร้อนๆ ใส่โคชูจัง คลุกให้เข้ากันแล้วทานตอนร้อนๆอร่อยมากครับ
นอกจากอาหารคาวแล้วก็ยังมีของหวานเป็นบิงซูด้วยครับ ขอแนะนำ บิงซูมะม่วง ที่เสิร์ฟมาพร้อมเนื้อมะม่วงสุกหอมและซอสมะม่วงเพิ่มความอร่อย และบิงซูชาเขียวถั่วแดงรสชาติเข้มข้นครับ
ใครพลาดร้านนี้ไปนี่ต้องคิดใหม่อีกทีเลยครับไม่เชื่อต้องไปลองครับ
อ่านReviewฉบับเต็มได้ที่
https://goo.gl/bux140
วันนี้ขอมารีวิวร้านอาหารเกาหลี อร่อยเลอค่า ในย่านเมืองทองธานี กันนะคับ ร้านที่ว่าคือ DooRae Korean BBQ Restaurant หรือภาษาไทยอ่านว่าร้านดูเร
[พิกัด]
ตั้งอยู่ในห้าง BeeHive เมืองทองธานี (ตรงข้ามกับ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช) ร้านอยู่ชั้น2 เดินขึ้นบรรไดเลื่อนมาหาไม่ยากคับ อยู่ตำแหน่งเดียวกับ Tops Market แต่อยู่ชั้น2 ร้านนี้พื้นที่ค่อนข้างกว้างมากทีเดียว ใครสนใจอยากเหมาร้าน เพื่อจัดงานเลี้ยง 100 - 150 คนนี้ได้สบายๆเลย
ที่จอดรถก็จอดในห้างได้มากมาย หลายร้อยคัน ถือว่าสะดวกมากทีเดียว
[Decor]
ร้านตกแต่งผสมผสานกันระหว่างความเป็นเกาหลีดั้งเดิมและโมเดิร์นเกาหลีอย่างลงตัว ภายในร้านจะมีโต๊ะอยู่เยอะพอสมควร จัดเป็นซุ้มๆสีขาวๆ โต๊ะเก้าอี้ ให้ความรู้สึกดูดี มีเกรด มีความเป็นร้านระดับ Fine Restaurant เลยทีเดียว
โต๊ะอาหารจะเป็นโต๊ะหินอ่อน ที่ฝั่งเตาไว้ภายในโต๊ะเลย ทำให้ไม่ดูเกะกะ ขณะปิ้งย่าง และระบบดูดควันจะอยู่รอบๆปากเตา ทำให้ไม่เห็นมีท่อดูดควันเกะกะตาเหมือนอย่างพวกร้าน KimJu และร้านเกาหลีอื่นๆ ความเป็นร้านอาหารเกาหลีของร้านนี้ ค่อนข้างเด่นชัดมากๆ อย่างพวกช้อนและตะเกียบเขาก็จะมีกระดาษที่เขียนเป็นภาษาเกาหลี(อ่านไม่ออก)หุ้มไว้อีกชั้นนึง ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนนั่งทานอยู่ ในบรรยากาศร้านแบบเกาหลีมากๆ (คือส่วนตัว ก็กินอาหารเกาหลีมาหลายร้านแล้ว แต่ร้านอื่นๆที่เคยกิน เขาจัดภาชนะ วิธีการเสิร์ฟอะไรต่างๆ ที่บ่งบอกความเป็นไทยอย่างเห็นได้ชัด) แต่ที่สัมผัสได้จากร้านดูเร นี้มันจะอีกอย่างนึงเลย แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
ได้คุยกับผู้จัดการร้าน ก็ได้ความว่า เจ้าของเป็นคนเกาหลี มาเปิดร้านในไทยร้านแรกอยู่ตรง Korean Town สุขุมวิท12 (ที่มีร้านสไตล์เกาหลีเยอะๆอยู่ในนั้น) ตั้งแต่ปี2542 แล้วพอดีมีเพื่อนเจ้าของมาเปิดร้านฟิตเนสที่ห้าง BeeHive แห่งนี้ เห็นทำเลดูดี เลยชวนๆเจ้าของร้านดูเร มาเปิดที่นี้เป็นสาขาที่ 2 ตอนแรกร้านเปิดมาพร้อมห้างบีไฮฟ์ ก็ขายแต่ a la carte อย่างเดียว (เหมือนสาขาแรก) แต่ว่าลูกค้าเข้าน้อย เพราะร้านอาหารใกล้เคียงกัน ก็เป็นร้านบุฟเฟ่ต์ทั้งนั้น ทั้ง Giant Yakiniku , Buta Shabu และร้านญี่ปุ่นในห้างบีไฮฟ์แห่งนี้ก็ขายแบบบุฟเฟ่ต์กันหลายร้าน แถมย่านนี้เป็นชานเมือง คนไม่เปย์มากเหมือนสาขาที่สุขุมวิท ทางเจ้าของเลยตัดสินใจ เพิ่มรูปแบบ Buffet 349 บาทเข้ามาเพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้ามาลองทานที่ร้านบ้าง (ซึ้งจริงๆ ถ้าใครเคยกินร้านดูเรที่สาขาโคเรียนทาวน์ จะรู้เลยว่าเนื้อหมู เนื้อวัวของที่นี้คัดเกรดมาดีมากๆ ในระดับที่ไม่น่าจะมาขายเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ได้ ถ้าเปิดดูราคาในเล่มเมนูจะเห็นได้ชัดเลยว่า แค่หมูหมักซอส 1 จานราคาอะลาคาร์ตก็ตกจานละ 320-350 บาท แต่ร้านใจป้ำมากๆ ที่กล้า ทำราคาบุฟเฟ่ต์คนละ 349 บาท แบบสั่งได้ไม่อั้นขนาดนี้
คือเอาจริงๆนะ ถ้าไปกินกัน 2 คน สั่งเมนูหมูอะไรมาสัก 3 อย่าง กินพร้อมเครื่องเคียงที่ร้านมีให้ไม่อั้นอยู่แล้ว คิดหัวละ 349 บาทนี้ก็คุ้มแล้วละ จานที่4-5-6 เป็นต้นไปนี้คือกำไรคนกินล้วนๆ
[Food]
เข้าเรื่องอาหารกัน มาร้านนี้ต้องจัดบุฟเฟ่ต์เลย คุ้มค่าสุดๆ กับราคา 349 บาท(เนตแล้วด้วย) ทานได้ 1ชั่วโมงครึ่ง สั่งได้ไม่อั้นในเมนูบุฟเฟ่ต์ที่เตรียมไว้ให้ พร้อมผักทุกอย่างสั่งได้ไม่อั้น และกิมจิเครื่องเคียง ทางร้านจะมี 8 อย่างมาเสิร์ฟให้เรา (พนักงานบอกว่า เครื่องเคียงบางอย่างอาจจะทำสลับๆกันไปในแต่ละวัน แต่จะมีกิมจิหลักๆอยู่5อย่างที่มีทุกวันแน่ๆ)
แต่เมนูบุฟเฟ่ต์จะเน้นไปที่เนื้อหมูและไก่ นะคับ ใครอยากสั่งเนื้อวัวมาทาน ต้องสั่งแยกเป็นจานๆไป (ไม่รวมอยู่ในบุฟฯ ก็ต้องยอมเขาหน่อยอะนะเนื้อวัวนำเข้าราคาค่อนข้างแพง แต่เนื้อวัวที่นี้รสชาติมันเยี่ยมมากมายจริงๆนะขอบอก)
-เครื่องเคียง กิมจิและอื่นๆ (เติมได้ไม่อั้นด้วยนะ)
ร้านดูเรนี้ ถ้ามานั่งทานไม่ว่าจะสั่งแบบ A la Carte หรือ Buffet ก็ตามเราจะได้รับการเสิร์ฟเครื่องเคียงมากมาย 8-10 อย่างตระการตาเต็มโต๊ะเลย (เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเลยที่ทำให้ผมปลื้มกับอาหารเกาหลีมั๊กๆ)
อย่างวันที่ไปกินกับแก็งกรุ๊ปได้เครื่องเคียง มา10อย่าง คือ กิมจิผักกาดดอง , กิมจิมะละกอ , กิมจิหัวไชเท้า, สลัดมันฝรั่ง, หอมดอง, หัวไชเท้าดอง, ปลาเล็กปลาน้อยทอดกรอบ, ยำผักโขม, มันฝรั่งชุปแป้งทอด, สลัดผัก
เมนูปิ้งย่างที่สั่งมาทานกัน
- ซี่โครงหมูหมักซอส (เทจิคาลบี้) [เมนูในลิสต์บุฟเฟ่ต์]
- หมูสามชั้นย่าง (ซัมเดฟไซล) [เมนูในลิสต์บุฟเฟ่ต์]
- สันนอกหมูหมักซอส (ซุฟพูนเทจิบูลโกกิ) [เมนูในลิสต์บุฟเฟ่ต์]
- ซี่โครงเนื้อย่าง (เซ็งคาลบี้) 590 บาท [สั่ง a la carte]
- เนื้อสันนอกย่าง (เซ็งดึงชิม) 550 บาท [สั่ง a la carte]
- เนื้อสไลด์บางหมักซอส (ซุฟพุนบูลโกกิ) 400 บาท [สั่ง a la carte]
ชอบปิ้งย่างของร้านนี้ เพราะ
1.พนักงานจะมาช่วยปิ้งเนื้อ กลับเนื้อ ตัดเนื้อให้เราที่โต๊ะเลย (คือไม่ต้องเรียก แต่มาบริการให้ที่โต๊ะเลย) และเตาถ่านของร้านนี้ไฟแรงจริงๆคับ เนื้อชิ้นใหญ่ๆ เอาลงไปย่างแป็ปเดียวเอง กลับข้างแล้ว อีกแปปเดียว ก็สุก พนักงานยังช่วยกรรไกรตัดเป็นชิ้นๆอีก บริการดีงามมาก ไปกินร้านนี้ช่วยๆทิปพนักงานกันด้วยนะ เพราะว่าสาขานี้เขาไม่มี +Service Charge ใดๆแต่ถ้าชอบบริการก็ติปให้หน่อยเป็นกำลังใจกัน
2. ผักกินแกล้มกับเนื้อย่าง-สดและสะอาดมาก คือเขาจะมีชามใส่ผักกาดหอม+กรีนโอ๊คเรดโอ๊ค+ใบงาหรือใบกันหนีฟ เป็นใบคล้ายๆใบโอบะในร้านญีปุ่น แต่ของสไตล์เกาหลี พนักงานบอกว่า ให้เอาใบงา+ผักกาดหอม เป็นฐานแล้วเอาเนื้อย่างจุ่มซอส มาวางแล้วห่อกิน
3. พนักงานสอนวิธีการกินเนื้อย่างสไตล์เกาหลีแท้ๆ ให้ด้วย ไปกินร้านอื่นๆไม่เคยรู้เลยว่าต้องกินกันแบบนี้เราก็มั่วๆกันไปคือปิ้งเนื้อเสร็จก็จุ่มซอสเข้าปากเลย มาร้านนี้พนักงานทำให้ดูเป็นสเต็ปๆเลยว่า step1-2-3-4-5-6 วางอะไรก่อนหลัง ดีงาม
4. เปลี่ยนตะแกรงวางเนื้อย่างให้บ่อยมาก คือไฟมันแรง พอย่างๆไปสักพัก ตะแกรงเริ่มดำนิดๆ แป็ปเดียวก็มาเปลี่ยนตะแกรงให้ใหม่แล้ว (โดยไม่ต้องเรียกขอด้วยซ้ำไป) คร่าวนี้กินกันไปชั่วโมงกว่า เปลี่ยนตะแกรงไป 6 ครั้งได้มั่ง
เมนูอื่นๆที่สั่งมาเพิ่ม
- ซุปไก่ตุ๋นโสม 420 บาท
เป็นไก่ทั้งตัว (ตัวเล็กๆตามสไตล์นั้นแหละ ยัดพวกโสม-ข้าวเหนียว-พุทรา-เก๋ากี้ และเครื่องเทศต่างๆเข้าไปข้างในตัวไก่ แล้วตุ๋นไก่มาทั้งตัว เสิร์ฟมาในหม้อร้อนๆแบบสไตล์เกาหลี เนื้อไก่ตุ๋นมาจนนุ่มมาก กินง่าย รสชาติไม่จัดจ้านมากนัก ตามสไตล์ แต่เป็นเมนูที่กลมกล่อมมากทีเดียว
- ข้าวยำเกาหลีเนื้อสด (ยุคเคบีบิมบับ) 330 บาท
เมนูนี้เป็นของโปรดที่ชอบมากๆ ถ้าไปร้านไหนมีเมนูนี้ต้องสั่งมาลองทุกร้านไป สำหรับที่ร้าน Doorae มีเมนูข้าวยำบิบิมบับ ให้เลือก 4 แบบ ผมเลยขอสั่งแบบ ข้าวยำเนื้อสด คือในชามร้อนที่เสิร์ฟมาก็จะมีข้าว มีผักต่างๆมากมาย พร้อมเนื้อสด และไข่แดง ท็อปปิ้งอยู่ด้านบน ก็ไม่ต้องตกใจว่าจะได้กินเนื้อสดๆหรอกนะ เพราะตามสไตล์ของข้าวยำเกาหลี ชามหินที่มาเสิร์ฟเขาจะทำให้ร้อนมากระดับนึง พอมาเสิร์ฟที่โต๊ะ พนักงานก็ราดซอสโคชูจัง (น้ำพริกเกาหลีสีแดงๆ) ลงไปพร้อมกับทำการคลุกเคล้าส่วนประกอบต่างๆภายในชาม ให้เคล้ากัน ได้เสียงซู้ซ่า พร้อมควันลอยออกมาขณะคลุกนิดๆ ฟีลลิ่งอยากกินมาเต็มเลย
- บูเดจิเก (ซุปหม้อไฟกิมจิใส่มาม่า แฮม ไส้กรอก วุ้นเส้น) 300 บาท
บูเดจิเก หรือซุปหม้อไฟเกาหลี เสิร์ฟมาเป็นหม้อขนาดใหญ่พอควร พร้อมผักหลายอย่าง เส้นรามยอง ไส้กรอก แฮม โบโลน่า หม้อไฟมากทีเดียว ทาน 3 คนก็อิ่มฟินๆเลยนะ
เมนูนี้ก็ตามสไตล์คือ ตั้งไฟให้เดือดแล้วคลุกเคล้าทุกอย่างมารวมกันแล้วตักใส่ชามตัวเองกิน
ป.ล เคยอ่านหนังสือ Korea Diary ของคุณสเลดทอย [สนพ.แซลมอน] เขาเขียนแซวว่าอาหารเกาหลี ส่วนใหญ่ตอนมาเสิร์ฟมักจัดแต่งสวยงาม แต่พอจะกินก็ต้องคลุกทุกอย่างตรงหน้า ให้มันเละเทะแล้วค่อยกิน ซึ้งดูเป็นวัฒนธรรมการกินที่ดูแปลกดี อ่าน Korea Diary แล้วก็เห็นด้วยมากๆกับเรื่องนี้ เพราะหลายเมนูที่เคยกิน มันก็จริงที่ว่าคนเกาหลีเขามักจะคลุกให้มันเละๆรวมผสมกันเป็นเนื้อเดียวกันก่อนแล้วค่อยกิน ทั้งข้าวยำเกาหลี บูเดจิเก ทัลคาลบี้ รวมไปถึงบิงซู ก็ยังต้องคลุกให้มันเละๆก่อนตักกิน
[Dessert]
หลังฟินอาหารหลักไปแล้ว เห็นป้ายสแตนดี้ของร้านมีบิงซูขายด้วย มีอยู่ 5 รสให้เลือก เลยลองสั่งมากิน 2 แบบคือ
- Bingsu Mango 129 Baht
เป็นบิงซูมาในถ้วยขนาดย่อมๆ ไม่เล็กไป ไม่ใหญ่ไป ท็อปปิ้งด้วยมะม่วงสุก หั่นชิ้นใหญ่กำลังดี พร้อมน้ำมะม่วงข้นๆสีเหลืองอ่อนๆ(ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี) ใส่กาอลูมิเนียมดูดีมากๆมาให้เติมเองอีก1กา รสชาติ หวาน หอม มัน อร่อย สูสีกับบิงซูเจ้าดังๆได้เลย
- Bingsu GreenTea 129 Baht
เป็นบิงซูมาถ้วยขนาดเดียวกันกับบิงซูมะม่วง ท็อปปิ้งด้วยผงชาเขียวมัทฉะ ถั่วแดงบด และอินจอลมี (แป้งข้าวเหนียวทรงเต๋าคลุกด้วยผงถั่ว) พร้อมป็อกกี้ชาเขียวอีก2แท่ง มาพร้อมกาใส่นมข้นหวานอีก 1 กา
เมนูนี้ก็อร่อยดี แต่เสียดายที่ชาเขียวมัทฉะมันน้อยไปหน่อย กินแล้วไม่ค่อยได้รสชาเขียวเท่าไรนัก แต่ความนุ่มหนึบของอินจอลมี ราดด้วยนมข้นหวานก็พอกล้อมแกล้มได้อยู่
หลังอิ่มฟินกันไปแล้ว ได้คุยกับทางผู้จัดการร้านดูเร คุยโน้นนี้ไปหลายอย่าง เพิ่งได้รับรู้ว่า เวลามีศิลปินดังๆพวก K-POP จากประเทศเกาหลีมาทัวร์คอนเสิร์ตในไทย ที่ Impact Arena เมืองทองธานี , ทีมงานชาวเกาหลีเขาจะสั่งอาหารของที่ร้านดูเร นี้ไปกินกันหลายมื้อเลยนะ เป็นเสบียงอาหารให้ทั้งทีมงานและศิลปินระหว่างมาซ้อมและเตรียมงานก่อนจัดคอนเสิร์ต (อาจเป็นเพราะร้านนี้ อยู่ใกล้ๆอิมแพคด้วยมั่ง และอีกประเด็นนึงคือ รสชาติอาหารมันคงเป็นรสที่แบบคนเกาหลีกินกันจริงๆแบบออริจินัลที่เขาคุ้นเคย) ผจก.บอกว่า อย่างวง GOT7 , Super Junior นี้คือเวลามีทัวร์คอนเสิร์ตในไทย จะต้องมาสั่งอาหารที่ดูเรให้ไปส่งที่อิมแพคประจำ และมีแบบว่า หลังจบคอน ทีมงานพาศิลปินทั้งวง มาขอปิดร้านแบบไพรเวท กินฉลองกันหลังจบคอนก็มี ผู้จัดการก็บอกว่าเขาต้องการความเป็นส่วนตัวมาก ระดับต้องปิดม่านทั้งหมดไม่ให้คนนอกเห็น และไม่ให้ลูกค้าคนอื่นเข้าร้านเลยนะ (เรียกว่าปิดร้านเหมาเลย) แฟนคลับก็ยืนรออยู่รอบนอกร้าน หวังได้ถ่ายรูปจังหวะเดินมา-เดินกลับ นั้้นแหละ
แต่เราฟัง แล้วก็รู้สึกว่า แปลว่ารสชาติอาหารร้านนี้มันคงเป็นแบบต้นตำรับจริงๆนั้นแหละ ศิลปินยังชอบเลย // ตอนนี้ส่วนตัว ผมติ๊กให้เป็นร้านเกาหลี Top5 ในดวงใจไปเรียบร้อยละ คร่าวหน้าแวะไปแถวเมืองทอง จะไปลองเมนูอื่นๆอีก
ร้านนี้แต่งร้านได้เก๋ดีครับ ออกแนวเมดิเตอเรเนี่ยน ซึ่งผมว่ามันก็อาจจะเป็นข้อเสียของร้าน เพราะพอลองไปดูเมนูร้าน มันเป็นแนวอาหารไทยซีฟู้ดซะมากกว่า ในขณะที่บรรยากาศร้านมันดูเป็นแนวอาหารฝรั่งมากๆ (ซึ่งก็สวยดี)
ทีแรกนึกว่าจะขายแนว หอยเชลล์อบเนย ปลาค้อทเสต็ก อะไรแบบนี้ ไปดูเมนูดันกลายเป้นแนวส้มตำปูม้า ปลากระพงทอดน้ำปลา - -" เห็นมีเมนูสเต็กซาลมอน ก็เสิร์ฟพร้อมข้าวสวย - -'
แต่พอไปลอง ผมว่ารสชาติก็โอเคทีเดียวนะคับ พวกอาหารแนะนำเค้ารสชาติก็ใช้ได้เลย
บริการ มีพนักงานบางคนที่เป็นระดับหัวหน้า ผมว่าพูดจาดี บริการใส่ใจดี แต่พนักงานระดับล่างๆ บางทียังงงๆ ไม่ค่อยมาบริการเท่าไหร่
โดยรวม ผมว่าก็เป็นร้านอาหารทะเล+อาหารไทยที่โออีกร้านในเทอมินอลนะคับ แต่ไม่รู้ทำไมคนน้อยตลอดเลย
มีโอกาสได้แวะเวียนมาแถวราชพฤกษ์ แล้วก็พบกับร้านนี้ครับ The Home Shabu &K.buffet
เป็นร้านอาหารเกาหลีสไตล์ฟิวชั่น พร้อมกับมีชาบูแบบเกาหลีรสเด็ด แน่นอนว่าต้องลองครับ
การเดินทางมาไม่ยากนะครับ ร้าน The Home Shabu &K.buffet อยู่ก่อนถึง The Circle ขับรถมาสะดวกมากๆ หน้าร้านมีที่จอดรถด้วยครับ
ถึงจะบอกว่าเป็นร้านชาบูก็จริง แต่พอเข้าไปแล้ว ชาบูนี่เหมือนเป็นของแถมเลยครับ เพราะไลน์อาหารเกาหลีอลังการและอร่อยมากๆครับ
เพราะมีหุ้นส่วนร้านเป็นชาวเกาหลี เลยได้ลิ้มลองอาหารเกาหลีแท้ๆ แต่ก็ปรับเปลี่ยนรสชาติให้ถูกปากคนไทยครับ
แนะนำเลยว่าห้ามพลาด ต็อกโบกีเผ็ด ที่เป็นเค้กข้าวผัดกับซอสออกรสชาติเผ็ดจัดจ้าน อร่อยมากๆกินไปหลายจานครับ
จับเฉ หรือผัดวุ้นเส้นแบบเกาหลี ซึ่งวุ้นเส้นแบบเกาหลีจะเส้นใหญ่กว่าวุ้นเส้นของไทย ผัดใส่น้ำมันงา หอมมากๆครับ
และแน่นอนที่ขาดไม่ได้สำหรับอาหารเกาหลี คือกิมจิผักดองชนิดต่างๆ ที่ร้านนี้มีให้เลือกเยอะมากๆ ที่ฟินสุดๆ ยกให้ Kimchi J Jim ที่เป็นกิมจิโฮมเมด ทานคู่กับหมูอบ รสชาติลงตัวครับ
ทานอาหารในไลน์บุฟเฟ่ต์จนเกือบลืมชาบูไปเลย สำหรับชาบูที่ร้านนี้มีน้ำซุปให้เลือกสองแบบครับ คือซุปใสกับซุปกิมจิ
แน่นอนว่าผมเลือกซุปกิมจิ รสชาติไม่เผ็ดมากนะครับ ออกเปรี้ยวๆ มีรสชาติเผ็ดปลายลิ้น แต่เข้มข้นมากๆครับ
และมีชุดชาบูให้เลือกสองชุดนะครับ ถ้าเลือกชุดหมู ก็จะได้ทานหมูคุโรบูตะ ถ้าเลือกชุดเนื้อก็จะได้ทานเนื้อริบอายออสเตรเลียครับ
ส่วนผักและเครื่องชาบูอื่นๆสามารถตักได้เองครับ แนะนำว่าอย่าลืมเส้นรามยอนนะครับ ไฮไลท์ของชาบูเกาหลีเลย
อิ่มฟินชาบูแล้วก็มีไลน์ของหวานปิดท้ายนะครับมีทั้งบิงซูที่เป็นน้ำแข็งไสแบบเกาหลี เลือกทานได้เองมีทั้งน้ำแดง นมข้นหวาน ช็อคโกแลตไซรัป
หรือไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟวานิลา คุกกี้ เวเฟอร์ ทาร์ต หรือผลไม้ก็มีนะครับ
ส่วนตัวตอนแรกมองว่าเรทสูงไปนิดแต่ก็ได้เปิดโลกทัศน์และแอบติดใจอะไรอย่างอยากกลับไปรีเทิร์นแน่นอนครับ
ส่วนค่าเสียหายเห็นว่ามีเพิ่งมีเปลี่ยนแปลงตอนที่ผมไปล่าสุดก็เป็นราคาบุฟเฟ่ต์....
จ-ศ กลางวัน net 449.- เด็ก 225.-
เย็น+เสาร์ net อาทิตย์ 499.- เด็ก 250.-
ทานได้ระยะเวลา 2 ชั่วโมงเต็ม รายละเอียดเพิ่มเติมลองติดต่อสอบถามได้ที่หน้าเพจของทางร้านดูนะครับ
อ่านReviewฉบับเต็มได้ที่
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=akuchan&month=18-10-2015&group=1&gblog=43
ขอบคุณครับ